Enconcept’ 5G
เอ็นคอนเส็ปท์ ควัก 40 ล้าน อัดฉีดนวัตกรรม-เทคโนโลยีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสมัยใหม่ให้ผู้เรียน ขณะเดียวกันเตรียมขยายสาขาต่างจังหวัด เพิ่มอีก 4 แห่ง พร้อมรีโนเวตสาขาเก่า หวังดึงดูดกลุ่มนักเรียนกระโปรงบาน ขาสั้น คาดทั้งปีรายได้เติบโตเพิ่ม 25% นายธเนศ เอื้ออภิธร ประธานสถาบันสอนภาษาอังกฤษ เอ็นคอนเส็ปท์ อี แอค เคเดมี่ เปิดเผยว่า ระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมานี้สถาบันสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย ได้มีพัฒนาการเรื่องของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาใช้ใน ระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในทุกสถาบันที่มี ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของภาษาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันสถาบันสอนภาษาอังกฤษ เอ็นคอนเส็ปท์ อี แอคเคเดมี่ก็ได้มีการนำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามา ช่วยในเรื่องการเรียนการสอนเช่นเดียวกัน อาทิ Enconcept E-Studio ซึ่งเป็น การพัฒนาระบบห้องเรียนภายใต้แนวคิด Edutainment ที่ได้มีการนำกล้องระบบวงจร ปิดเข้าจับภาพบรรยากาศการเรียน และการ สอนของอาจารย์ เพื่อทำการบันทึกลง DVD สำหรับแจกให้นักเรียนกลับไปทบทวนต่อได้ที่บ้าน, E-Live การสอนผ่านระบบดาว เทียม E-Live เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนพร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้มีการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Alive On Demand” ช่วยในจัดการเรียนภาษาอังกฤษรูปแบบใหม่ ซึ่งผู้เรียนสามารถกำหนดเวลา เลือกเนื้อหา และ เรียนซ้ำในส่วนที่ต้องการได้อย่างไม่จำกัด ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งในสถาบัน และระบบ Smart Board หรือกระดานอัจฉริยะ ที่สามารถสอนในรูปแบบของตัวหนังสือ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว บท เพลง และสื่อดิจิตอล โดยเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษของผู้เรียนมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ สถาบันยังได้มีการนำเอานวัต กรรมรูปแบบการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ หรือ Learning methodology เข้ามาใช้ในการ เรียนการสอนอีกด้วย อาทิ การนำเอาบทเพลง (Memolody) เข้ามาใช้ในการเรียน รู้ศัพท์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแนวใหม่ ซึ่งสถาบันได้ทำการจ้างโปรดิวเซอร์มืออาชีพเข้ามาช่วยในการแต่งเพลง ตัดต่อและบันทึกเสียงด้วย ปัจจุบัน Enconcept มีบทเพลงเพื่อใช้ในการเรียนการสอนแล้วประมาณ 300 เพลง ครอบคลุมทั้งไวยากรณ์ รากศัพท์ บท สนทนาและคำศัพท์กว่า 3 พันคำ และการสอนผ่านวิธี Tree Tactics ซึ่งเป็นการนำเอาแกรมม่าเข้ามาเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ล่าสุด เอ็นคอนเส็ปท์ อี แอคเคเดมี่ ได้นำเอารูปแบบการเรียนภาษาอังกฤษในปัจจุบันเข้าไปในยุค 5G หรือ 5 Generation ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนการสอนที่มีความสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้เรียนในปัจจุบันมากที่สุด โดยรูปแบบการสอนจะ เน้นในเรื่องของความเข้าใจ และสร้างความ สุขให้กับผู้เรียนเป็นหลัก ขณะเดียวกันยังจะได้มีการนำเอาเทคโนโลยีใกล้ตัวของ ผู้เรียนมาสร้างระบบ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยง ติดต่อระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน อาทิ การ นำเอาโทรศัพท์มือถือของผู้เรียนสามารถ ส่ง SMS ข้อคิดเห็น หรือคำถามที่ต้องการถามครูผู้สอนมาที่ส่วนกลางได้ทันที ซึ่งคำถามที่ส่งมา จะมีการยิงและส่งสัญญาณมาขึ้นที่หน้าจอ SmartBaord เป็นแถบ ด้านล่างเช่นเดียวกับที่เห็นในจอโทรทัศน์ เพื่อให้นักเรียนทั้งหมดทั่วประเทศได้เห็นคำถาม และการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียน เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของผู้เรียนทุกคนมี สถาบันได้มีการนำเอาข้อมูลต่างๆ และภาพการเรียนการสอนในทุกครั้งเข้าไปในระบบของสถาบัน จากนั้นผู้เรียนที่ไม่เข้าใจ หรืออยากกลับไปทบทวนที่บ้าน หรือพลาดข้อมูลสำคัญในห้องเรียน และจดตามไม่ทันก็สามารถเข้าไป log in เข้าสู่ระบบของ Enconcept ก็จะสามารถดูข้อมูลบนกระดาน Smart Board จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านได้ ซึ่งจะทำให้นักเรียนสามารถพัฒนาศักยภาพการเรียนของตนเองได้ นายธเนศ กล่าวว่า สำหรับงบลงทุนที่ใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนการสอนนั้นประมาณ 20-25 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบการลงทุนที่สถาบันได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อได้มีการนำเอาระบบการ เรียนการสอนที่ทันสมัยแล้วสถาบันคาดว่าจะสามารถดึงดูดกลุ่มผู้เรียนให้เข้ามาเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาเรียนจะเป็นนักเรียนและนักศึกษาประมาณ 97% และคนทำงาน 3% ปัจจุบันสถาบันสอนภาษาอังกฤษ เอ็นคอนเส็ปท์ อี แอค เคเดมี่มีนักเรียนประมาณ 1 แสนคน จาก 26 สาขา 19 จังหวัด โดยต่อสาขามีนักเรียนเฉลี่ย 1 พันคน สำหรับในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะ ขยายสาขาเพิ่มอีก 4 สาขา ได้แก่ เชียง ราย, ตรัง, อยุธยา และอุดรธานี ซึ่งทั้ง 4 สาขาที่เข้าไปเปิดนี้เพราะมองว่าเป็นจังหวัด ที่มีนักเรียนให้ความสนใจภาษาอังกฤษ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาสถาบันได้มีการเข้าไปเปิดสอนบ้างแล้วในบางจังหวัดที่ใกล้เคียง โดยมีงบการลงทุนต่อ สาขาอยู่ที่ประมาณ 3-4 ล้านบาท นอกจากนี้ ในปี 2551 นี้สถาบันยังได้เตรียมรีโนเวตอีกประมาณ 4-5 สาขา ทั้งนี้เพื่อต้องการให้สาขามีความทันสมัยขึ้น และสามารถรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สถาบันได้มีการเข้าไปเพิ่มให้ด้วย โดยงบลงทุนประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อสาขา สำหรับค่าเรียนจะอยู่ที่ 2.5-4.5 พันบาทต่อคอร์ส ซึ่งราคาที่เรียนในห้องอิน สตูดิโอ จะมีราคาเพิ่งกว่าห้องเรียนผ่านออนไลน์ประมาณ 20% โดยรายได้ในปี 2550 ที่ผ่านมาเอ็นคอนเส็ปท์ อี แอคเคเดมี่มีประมาณ 300 ล้านบาท และในปี 2551 นี้สถาบันตั้งเป้าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 20-25% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการขยายสาขาเพิ่ม และได้มีการ รีโนเวตภาพลักษณ์ใหม่ของห้องเรียน รวมไปถึงเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยในการเรียนรู้ของผู้เรียน
คำถามในห้องเรียน เทคโนโลยี 3 G 4G 5G คืออะไรและมีความแตกต่างกันอย่า งไร มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันเรา หรือไม่
ตอบ ป็นที่รู้กันว่าก่อนที่จะมีการสื่อสารในระบบ 2G หรือ 3G ในปัจจุบันนั้น เมืองไทยเราและทั่วโลกได้มีพัฒนาระบบการสื่อสารจากการสื่อสารผ่านบุคคลหรือสื่อกลาง เช่น การไปรษณีย์ เป็นต้น มาเป็นการสื่อสารระบบ 1G หรือศัพท์เฉพาะทางวงการเรียกว่า ระบบการสื่อสารแบบ Analog คือ การใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้งานทางด้านเสียงได้อย่างเดียวเท่านั้น คือ โทรออกและรับสาย เท่านั้นไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน ข้อมูลและ Application ดังเช่นปัจจุบัน แม้แต่การรับหรือส่ง SMS ก็ยังทำไม่ได้ในยุค 1G เพราะในยุคนั้น ความจำเป็นในการใช้งานด้านอื่นๆ นอกจากเสียงเพื่อการติดต่อสื่อสารยังไม่แพร่หลาย และการใช้โทรศัพท์ยังไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเท่าใดนัก อีกทั้งโทรศัพท์ก็มีราคาแพงผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงได้จึงมีแต่นักธุรกิจที่มีรายได้สูงๆ เท่านั้น
ตัวอย่างการสื่อสารระบบ 1G ที่เราคุ้นเคยในอดีต คือ โทรศัพท์รูปแบบใหญ่เทอะทะ การใช้งานง่ายๆ ไม่มีการโชว์เบอร์หรือหน้าจอที่สวยงาม ใช้ได้แค่เพียงรับสายหรือโทรออกเพื่อคุย บางครั้งเราก็เรียกเป็นทำนองล้อเลียนตามขนาดของโทรศัพท์ว่า รุ่น “กระดูกหมู” บ้างก็มี และที่ได้รับความนิยมอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพจเจอร์ที่รับเฉพาะข้อความจากผู้ส่งผ่านเครือข่ายที่ให้บริการ เมื่อในอดีตที่ผ่านมานั่นเอง การให้บริการระบบ 1G เริ่มต้นในปีค.ศ. 1980 จนเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นการสื่อสารแบบระบบ 2G หรือการสื่อสารระบบ Digital ต่อมา
เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระบบ 2 G ( Second Generation )
เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสาร จากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบ Analog มาเป็นการเข้ารหัส Digital โดยส่งทางคลื่นไมโครเวฟ ยุคนี้เป็นยุคที่ทำให้เราเริ่มที่จะสามารถใช้งานทางด้าน Data ได้ นอกเหนือจากการใช้งานเสียงเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต 2G นี้ เราสามารถ รับและส่งข้อมูลต่าง ๆ และติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน เรียกว่า cell site และก่อให้เกิดระบบ GSM (Global System for Mobilization) ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Roaming
GSM เดิมเป็นระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเซลลูลาร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับบริการสื่อสารทางเสียงและการรับหรือส่งข้อมูลแบบง่ายๆ ซึ่งได้รับความนิยมในปัจจุบันทั้งในเอเชียและยุโรป ตัวอย่างการสื่อสารในระบบ 2G ในยุคแรกๆ ที่เราคุ้นเคย ก็คือการผลิตโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอเป็นสีขาวดำ เช่น รุ่น Nokia 3310 ที่เคยได้รับความนิยมก่อนหน้านี้ โดยนอกจากจะมีรูปแบบการสื่อสารทางเสียงแล้วยังเพิ่มคุณสมบัติการสื่อสารทาง sms หรือข้อความ และเพิ่ม Application อย่างง่ายๆ เข้าไป เช่น ปฏิทิน เกม นาฬิกาปลุก เป็นต้น สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เวปไซต์อธิบายวิวัฒนาการการสื่อสาร ที่
http://mblog.manager.co.th/watokung/th-77667/
ยุคระบบ 2G ถือเป็นยุคเริ่มต้นแห่งการเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือ ราคาของโทรศัพท์มือถือเริ่มต่ำลงกว่ายุค 1G ทำให้ปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีมากขึ้นรวมทั้งในประเทศไทยด้วย ซึ่งการส่งข้อมูลของยุค 2G นี้ เป็นยุคที่มีการเริ่มฮิต Download Ringtone , Wallpaper , Graphic ต่างๆ แต่ก็จะจำกัดอยู่ที่การ Downlaod Ringtone แบบ Monotone และ ภาพต่างๆก็เป็นเพียงแค่ภาพขาว-ดำที่มีความละเอียดต่ำเท่านั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานรูปแบบการสื่อสารก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว เป็นระบบ 2.5 และ 2.75G จากระบบเสียงโมโนโทน เริ่มพัฒนาเป็นเสียงโพลีโฟนิกซ์และเสียงแบบสมจริงเหมือน mp3 ปัจจุบันมีแนวโน้มจะพัฒนาไปเป็นระบบ 3G เรื่อยๆ
ก่อนจะกล่าวถึงระบบ 3G ข้าพเจ้าขออธิบายถึง ระบบ 2.5 และ2.75G ก่อนเพื่อให้ท่านทราบถึงความสัมพันธ์ของแต่ละระบบว่าเป็นอย่างไร
2.5G เป็นรูปแบบกึ่งกลางระหว่าง 2G และ 3G ยุคนี้เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) ตามหลักการแล้ว เทคโนโลยี GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps (1G ส่งข้อมูลได้ 9 Kbps ต่อวินาที) แต่ในบ้านเราใช้ได้แค่ 40 Kbps ต่อวินาทีเท่านั้น 2.5Gนี้มีการพัฒนาให้เครื่องมือสื่อสารมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้แต่ยุคนี้ยังเป็นอินเตอร์เน็ตความเร็วต่ำ ดาวโหลดได้ช้าและได้จำนวนน้อย ซึ่งเราจะเห็นตัวอย่างง่ายๆ จากโทรศัพท์มือถือที่เป็นสีรุ่นแรกๆ นั่นเอง
ส่วนระบบ 2.75G นั้นเป็นการเริ่มใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) หรือบ้านเราเรียกว่า “เอดจ์” EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดจากการพัฒนาของ GPRS ลักษณะการทำงานจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRS ให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงขึ้น มีความเร็วระดับกว่า 40 Kbpsในระบบ 2G ถึง 4 เท่าตัว แต่เราไม่ค่อยคุ้นเคยกับศัพท์นี้ เพราะทางผู้ผลิตได้พัฒนาอย่างรวดเร็วและไม่ได้ประกาศให้ผู้บริโภคทราบอย่างเป็นทางการ ในความเป็นจริงแล้วเรามักซื้อโทรศัพท์ตามลูกเล่นและราคา ไม่ได้ศึกษาถึงรายละเอียดอย่างแท้จริง จึงไม่ทราบว่าเป็นรูปแบบระบบไหน ในเมืองไทยปัจจุบันถือว่าเป็นรูปแบบ 2.75G นี้เอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คาบเกี่ยวกับระบบ 3G สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของเทคโนโลยีเอดจ์ในรูปแบบ 2.75จี นี้ได้ที่เว็ปไซต์
http://www.vcharkarn.com/vblog/34978
เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระบบ 3 G ( Third Generation )
เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ซึ่งแต่เดิมเครื่องมือสื่อสารทำได้เพียงรับส่งข้อมูลภาพและเสียงต่างเวลาและสถานที่กัน การสนทนาก็มีเพียงแค่เสียงไม่สามารถเห็นหน้าขณะสนทนาได้แต่ระบบนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้สมบูรณ์แบบ และมีประสิทธิภาพมาก เช่น การรับ-ส่ง Fileข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก การใช้บริการ Video/ Call Conference หรือการสนทนาผ่านระบบวีดีโอ ที่มองเห็นหน้าและสามารถพูดคุยกันได้เสมือนอยู่ต่อหน้ากัน และสามารถ Download เพลงและดู TV Streaming ได้อย่างรวดเร็วและสะดวก คุณสมบัติหลักที่เด่นๆ อีกอย่างหนึ่งของระบบ 3G ก็คือ Always On กล่าวคือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดใช้งานโทรศัพท์โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อและล็อกอินเข้าเครือข่ายข้อมูลเหมือนจีพีอาร์เอส ระบบภาพและเสียงที่มีประสิทธิภาพสมจริง สามารถประชุมทางไกลร่วมกันเพียงผ่านเครื่องมือสื่อสาร การดาวโหลดและอัพโหลดข้อมูลปัจจุบันอยู่ที่Download 14.4 Mbps / Upload 384 Kbps ต่อวินาที ในอนาคตมีแนวโน้มว่าอัตราการดาวและอัพโหลดข้อมูลจะมากถึง 42 Mbps ต่อวินาทีเลยที่เดียว การทำงานเปรียบได้กับการมีคอมพิวเตอร์กะทัดรัดที่สามารถพกพาได้เลยทีเดียว
ตัวอย่างอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G คือ mobile phone เช่น ไอโฟน 3จีที่คนไทยรู้จักกันดี , PDA (Personal Digital Assistant) , Laptop , Palmtop , PC (Personal Computer) เป็นต้น ในเมืองไทยระบบนี้ยังไม่มีใช้งาน เพราะติดขัดด้านกฎหมายหลายอย่าง อย่างไรก็ดีในประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศเริ่มมีการใช้ระบบ 4Gแล้ว ในทรรศนะของข้าพเจ้าคิดว่า 3G เป็นระบบเครือข่ายแบบก้าวกระโดด กล่าวคือการพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วความโดดเด่นอาจไปปรากฏในลักษณะรูปแบบ 4G พูดง่ายๆก็คือ 3G เป็นเพียงจุดเริ่มต้นการพัฒนาสู่ระบบ 4G นั่นเอง
เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระบบ 4G ( Forth Generation )
เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ (IP digital packet ) เป็นเส้นทางโอนถ่ายข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยสายเคเบิล ระบบเครือข่ายนี้สามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติการเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง สามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงมากกว่าระบบ 3G ที่เพิ่มขึ้นถึง 100 Mbps ต่อวินาที ให้ความยืดหยุ่นสูง สามารถครอบ คลุมพื้นที่ได้กว้างไกล และถือเป็นความ เร็วในการสื่อสารสูงสุดในขณะนี้
ระบบนี้สามารถใช้งานด้านการสื่อสารได้ทั่วโลก ส่งข้อมูลได้มากกว่ามีความสมบูรณ์แบบมากที่สุดและราคาถูก เช่น หากเราต้องการดาวโหลดหนังหรือเพลงสักหนึ่งข้อมูลลง ก็สามารถดาวโหลดได้ทันทีและรวดเร็วเสมือนใช้อินเตอร์เน็ตจากพีซีที่บ้าน แต่สะดวกและรวดเร็วกว่าตรงที่ไม่ต้องใช้สายและราคาถูกกว่า 3G มาก (ศึกษาเปรียบเทียบจากการพัฒนาเพื่อการใช้งานของระบบ 4G ในต่างประเทศที่จะเริ่มให้บริการ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยี 4G ยังไม่ได้รับการยืนยันถึงความเป็นไปได้ และความชัดเจนที่แน่นอนจากประเทศที่พัฒนาระบบนี้ ) ในบางครั้งหากเราต้องการดูภาพวีดีโอเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น ก็สามารถรับชมได้ทันทีจากการส่งข้อมูลของผู้ที่เราสนทนาด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสื่อสารอย่างหูทิพย์ตาทิพย์แบบปัจจุบันทันด่วนเลยทีเดียว
สรุป ความแตกต่างระหว่าง 2 G 3G และ 4G
2G เริ่มแรกเป็นระบบเครือข่ายที่สามารถแลกเปลี่ยนการสนทนากันได้ทันที แต่ได้เพียงแค่เสียง รับ-ส่งข้อมูลที่เป็นข้อความและภาพขาว-ดำ ได้ในจำนวนหนึ่ง รูปแบบข้อมูลเสียงเป็นโมโนโทน มี Application ง่ายเครื่องมือการสื่อสารระบบนี้ เช่น โทรศัพท์มือถือหน้าจอขาว-ดำ เป็นต้น และพัฒนาต่อมาเป็นระบบ 2.5และ2.75G ที่พัฒนา Application ที่หลากหลายมากขึ้น รับและส่งข้อมูลรูปแบบสีสันเสมือนจริง ระบบเสียงเป็นโพลีโฟนิกซ์และ mp3 เสมือนจริงตามลำดับ เข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ผ่านเครือข่ายผู้ให้บริการ รับ-ส่ง และดาวโหลดข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยี GPRS และ EDGE ได้ แต่ไม่สามารถดาวโหลดข้อมูลที่มีขนาดและความละเอียดที่สูงมากได้ การสนทนายังเป็นรูปแบบแลกเปลี่ยนเสียงเหมือนเดิม
3G พัฒนามาจาก 2G เครื่องมือที่รองรับมี Application ที่หลากหลายมากขึ้น รับ-ส่ง และดาวโหลดหรืออัพโหลดข้อมูลได้จำนวนมากๆ และมีความละเอียดสูง ที่สำคัญคือสามารถสนทนาและประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ได้ โดยคู่สนทนาสามารถมองเห็นหน้ากันและกันขณะพูด เข้าถึงเครือข่ายโดยไม่ต้องสมัครหรือล็อกอิน( Always on )ได้ตลอดเวลาที่เปิดเครื่องมือใช้งาน และเชื่อมต่อเครือข่ายได้ทุกที่ทั่วโลก
4G พัฒนาต่อยอดจาก 3G เป็นการประยุกต์เอารูปแบบการสื่อสารทั้งหมดที่มีประสิทธิภาพมารวมกันเป็นระบบเดียว รูปแบบและระบบการทำงานบางอย่างเหมือนกับ 3G แต่มีการเพิ่มขีดความสามรถการรับส่งข้อมูล ดาวโหลด อัพโหลด เข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์-เอ็กซ์เตอร์เน็ตได้มากกว่าระบบเดิม มีความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยพัฒนามา จัดการข้อมูลที่มีความละเอียดและขนาดใหญ่มากๆ ได้ทันทีและรวดเร็ว ดูภาพวีดีโอเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้สดๆ และละเอียดสมจริงไม่สะดุด ระบบ 4G นี้กำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นระบบสากลและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น